
ชีพจรเศรษฐกิจโลก นงนุช สิงหเดชะ
เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย สำหรับการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา นั่นก็คือ การคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม คือใกล้ระดับศูนย์ที่ 0-0.25% ด้วยมติ เอกฉันท์ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจสหรัฐที่ได้รับผลกระทบอย่าง รุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ซึ่งสหรัฐเป็นชาติที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก มีผู้ติดเชื้อเกิน 2 ล้านราย และเสียชีวิต เกิน 1 แสนคน
การประชุมครั้งนี้ของเฟดเกิดขึ้นหลังจากสหรัฐเริ่มทยอยเปิดเศรษฐกิจไปบ้างแล้ว รวมทั้งมองเห็นผลกระทบจากการต้อง ปิดกิจกรรมเศรษฐกิจไประดับหนึ่ง ดังนั้น จึงมีการประเมินอัตราเติบโตของเศรษฐกิจออกมา หลังจากหลีกเลี่ยงการพยากรณ์จีดีพีในการประชุมครั้งก่อนหน้าเนื่องจากสถานการณ์ยังมีความไม่แน่นอนสูง
เฟดคาดว่าตลอดปีนี้ จีดีพีสหรัฐจะติดลบที่ระดับ 6.5% ก่อนจะกลับมาเป็นบวก 5% ในปีหน้า บวก 3.5% ในปี 2022 และบวก 1.8% ในปี 2023 ส่วนอัตราการว่างงานปีนี้จะพุ่งโด่งไปอยู่ที่ 9.3% ก่อนจะลดลงเหลือ 6.5%, 5.5% และ 4.1% ในปีต่อ ๆ ไปตามลำดับ ขณะที่เงินเฟ้อทั่วไปปีนี้จะอยู่ที่ 0.8% และเพิ่มเป็น 1.6%, 1.7%, และ 2% ในปีต่อ ๆ ไปตามลำดับ
ในแง่ของอัตราดอกเบี้ย เฟดส่งสัญญาณว่าจะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับนี้ไปจนถึงปี 2022 และไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่ บอกว่า ต้องการใช้นโยบายดอกเบี้ยติดลบ อีกทั้งส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะใช้มาตรการ ผ่อนคลายไปจนกว่าจะมั่นใจว่าเศรษฐกิจสามารถฟันฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ โดยเฟดมี เป้าหมายจะส่งเสริมให้มีการจ้างงานใน อัตราสูงสุด และอัตราเงินเฟ้อเข้าสู่ระดับ เป้าหมาย ทั้งนี้ จะยังคงเพิ่มการเข้า ซื้อพันธบัตรเดือนละ 8 หมื่นล้านดอลลาร์ และหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองหนุนหลังอีกเดือนละ 4 หมื่นล้านดอลลาร์
ความรุนแรงจากพิษของไวรัสโควิด-19 ทำให้เฟดต้องอัดฉีดสภาพคล่องผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อพยุงเศรษฐกิจมากกว่าครั้งที่เกิดวิกฤตการเงินครั้งร้ายแรงในสหรัฐเมื่อ ปี 2008 ในครั้งนั้นเฟดใช้เงินไปราว 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ในครั้งนี้ใช้เงินไปแล้วกว่า 7.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์บางรายประเมินว่าอาจต้องใช้เงินสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด แถลงว่า การพยากรณ์เศรษฐกิจครั้งนี้อยู่ บนความคาดหมายที่ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ในช่วงครึ่งหลังของปีและรักษาระดับการ ฟื้นตัวไปจนถึง 2 ปีข้างหน้า โดยมีอัตรา ดอกเบี้ยหนุนหลัง อย่างไรก็ตาม อัตราการฟื้นตัวยังคงขึ้นอยู่กับพัฒนาการของสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นการประเมินเศรษฐกิจในครั้งนี้ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นการพยากรณ์อย่างเป็นทางการ
มาร์ก แชนด์เลอร์ หัวหน้านักกลยุทธ์การตลาด แบนน็อกเบิร์น โกลบอล ฟอเรกซ์ ระบุว่า การที่เฟดประเมินว่าจีดีพีปีนี้จะติดลบ 6.5% ทั้งที่ตัวเลขการจ้างงานในสหรัฐเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น อย่างน่าประหลาดใจ กล่าวคือมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านคน ผิดจากคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าการจ้างงานจะลดลง 8.3 ล้านตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และต้องใช้เวลาหลายเดือนเพื่อดูถึงอัตราการจ้างงาน เฟดกำลังบอกว่า “คนไข้ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ”
โมฮัมเหม็ด เอ. เอล-เอเรียน ที่ปรึกษา เศรษฐกิจ อัลลิอันซ์ เอสอี ชี้ว่า การที่เฟด ประเมินว่าจีดีพีจะหดตัว 6.5% เท่ากับ ดับฝันของทำเนียบขาวและผู้เล่นใน ตลาดอีกหลายคน ที่วาดหวังว่า อัตรา การจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวในรูป V หรือฟื้นอย่างฉับพลันและแข็งแกร่ง
ก่อนหน้านี้ นายลาร์รี คัดโลว์ ผู้อำนวย การสภาเศรษฐกิจแห่งสหรัฐ ให้สัมภาษณ์หลังจากตัวเลขการจ้างงานในเดือนพฤษภาคมออกมาดีกว่าคาดว่า แม้จำนวน ผู้ว่างงานยังสูง แต่ดูเหมือนว่าเรามาถึง จุดเปลี่ยน เศรษฐกิจดูเหมือนจะถึงจุด ต่ำสุดแล้ว และกำลังมุ่งหน้าสู่การฟื้นตัว อย่างยอดเยี่ยมในช่วงครึ่งปีหลัง
"เศรษฐกิจ" - Google News
June 13, 2020 at 02:17PM
https://ift.tt/30ArZNL
'เฟด' ดับฝันเศรษฐกิจฟื้น V-Shape จีดีพีสหรัฐปีนี้ไม่รอดติดลบ 6.5% - ประชาชาติธุรกิจ
"เศรษฐกิจ" - Google News
https://ift.tt/3crAsVL
No comments:
Post a Comment