
จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนในปัจุบันมีมูลค่าสูงถึง 14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เศรษฐกิจจีนก็ต้องเผชิญปัญหาหลายประการ นับตั้งแต่สงครามการค้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งอย่าง “สหรัฐอเมริกา” จนถึงการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ที่นำไปสู่การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแน่นอนว่าเมื่อจีนได้รับผลกระทบ โลกก็ย่อมได้รับผลกระทบตามไปด้วย
บลูมเบิร์กรายงานว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดภาวะโรคระบาด รัฐบาลจีนเคยคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของจีนปี 2020 ไว้ที่ 6-6.5% แต่ความไม่แน่นอนในปัจจุบันทำให้สภาประชาชนแห่งชาติจีนตัดสินใจยกเลิกการกำหนดเป้าหมายการเติบโตของจีดีพีประจำปีนี้ไปในการประชุมเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ล่าสุดรายงานบทวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกประจำเดือน มิ.ย. 2020 ของธนาคารโลกได้ระบุว่า จีดีพีของจีนปีนี้อาจขยายตัวที่ระดับ 1% เท่านั้น
ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นความเสียหายของเศรษฐกิจจีน แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ส่วนหนึ่งมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาคเศรษฐกิจเต็มไปด้วยหนี้สินมหาศาล ซึ่งความสามารถในการชำระหนี้ขึ้นอยู่กับรายได้ และผลกำไรตามความเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัวจึงทำให้หนี้ทั้งในส่วนของภาครัฐและภาคครัวเรือนชาวจีนพอกพูนขึ้น ผลการวิจัยของ “บลูมเบิร์ก อีโคโนมิกส์” คาดว่า ปริมาณหนี้ของจีนกำลังเพิ่มสัดส่วนต่อจีดีพีมากกว่า 300% ภายในปี 2022 และมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นหนี้เสียในปริมาณมหาศาล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเจ้าหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจจีนยังขับเคลื่อนการสร้างงานในระดับภูมิภาค พร้อมกับการเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลก แต่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจทำให้อัตราการว่างงานที่สูงขึ้นก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดตามมา เนื่องจากผู้คนไม่ยอมใช้จ่าย ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจต่างประเทศที่มีจีนเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะสินค้าแบรนด์ต่างชาติ อย่าง แอปเปิ้ล พราด้า สตาร์บัคส์ ที่ขยายสาขาในจีนอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสินค้ายานยนต์ที่มียอดขายในจีนร่วงลงในปี 2019 นับเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี
ส่วน “สงครามการค้า” กับสหรัฐก็ไม่เพียงส่งผลด้านลบต่อภาคการส่งออกของจีนเท่านั้น แต่บริษัทต่างชาติที่มีฐานการผลิตในจีนก็ได้รับผลกระทบจากภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นของสหรัฐด้วย กระทั่งบางบริษัทต้องย้ายฐานออกจากจีน
ล่าสุดความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ชาติยังทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง จากความพยายามบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงของรัฐบาลจีน ทำให้เกิดความหวั่นวิตกว่าธุรกิจต่างชาติในฮ่องกงจะถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งสหรัฐได้ตอบโต้ด้วยการประกาศตัดสิทธิพิเศษทางการค้าที่ให้แก่ฮ่องกง รวมถึงพิจารณากฎควบคุมบริษัทของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอย่างเข้มงวดด้วย สร้างความยากลำบากมากขึ้นให้กับธุรกิจของทั้ง 2 ประเทศ
การชะลอตัวและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจของจีนเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่กระทบต่อธุรกิจภายในประเทศ แต่เศรษฐกิจจีนที่โยงใยทั่วโลกและมีขนาดใหญ่เกือบ 1 ใน 3 ของเศรษฐกิจโลก กำลังส่งผลกระทบในระดับที่กว้างขวางยิ่งกว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในประเทศอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้คำกล่าวที่ว่า “เมื่อจีนจาม ทั้งโลกก็จะติดหวัดไปด้วย” จึงยังคงใช้สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
"เศรษฐกิจ" - Google News
June 13, 2020 at 05:15PM
https://ift.tt/2XVuaK6
"จีน" เผชิญสัญญาณเสี่ยง ฟาดหางเศรษฐกิจโลก - ประชาชาติธุรกิจ
"เศรษฐกิจ" - Google News
https://ift.tt/3crAsVL
No comments:
Post a Comment