
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจโลก โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
ในยามนี้ มีคำถาม-คำตอบ ชุดหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก เป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ หลายภูมิภาคของโลก นั่นคือคำถาม-คำตอบที่ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้กับเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่เกิดการระบาด แต่ทำไมดัชนีหุ้นในหลายประเทศกลับพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ?
นักลงทุนในหุ้น ไม่สนใจพื้นฐานทางเศรษฐกิจกันแล้วหรืออย่างไร
ปรากฏการณ์นี้เกิดในหลายประเทศ มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
คนอเมริกันติดเชื้อโควิด-19 ทะลุ 2 ล้านคนไปหมาด ๆ ในขณะที่ยอดรวมผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากเกินกว่า 1 แสนคนไปแล้ว หุ้นก็ยังขึ้น
เศรษฐกิจอเมริกันในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ ติดลบมหาศาลถึงเกือบ 5% คนตกงานมากกว่า 40 ล้านคน กิจการหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจรายย่อย เรื่อยไปจนถึงห้างค้าปลีก ห้องเสื้อดัง ดิ้นรนกระเสือกกระสน หุ้นก็ยังขึ้นอยู่ดี
เกิดการจลาจลอันเนื่องมาจากทัศนคติเหยียดผิว รังเกียจชาติพันธุ์ขึ้นในเมืองน้อยใหญ่หลายสิบเมืองทั่วสหรัฐอเมริกา ตลอดทั้งสัปดาห์ หลังจากจอร์จ ฟลอยด์ อเมริกันผิวดำเสียชีวิตระหว่างการจับกุมของตำรวจทั้ง ๆ ที่ไม่มีอาวุธ ตลาดหุ้นก็ยังพุ่งแรง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ถ้าจะตอบว่า เป็นเพราะตลาดหุ้น “ไม่ใช่” เศรษฐกิจที่แท้จริง ก็ยากที่จะมองเห็นเหตุผลในคำตอบนั้นได้ เพราะนั่นเท่ากับบอกว่า หัวของเรา หรือแขนขาของเรา ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา ทั้ง ๆ ที่มันเชื่อมโยงถึงกันอย่างชัดเจนและเป็นส่วนหนึ่งของตัวเราอย่างแท้จริง
ตลาดหุ้นเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ และเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจแน่ ๆ แต่ทำไมถึงได้แยกห่างออกจากกันจนเห็นได้ชัดขนาดนั้น
มีมุมมองที่น่าสนใจ สำหรับใช้เป็นคำตอบของคำถามเหล่านี้ในกรณีของสหรัฐอเมริกา ที่ดาวโจนส์พุ่งขึ้นไปแล้วมากกว่า 7% นับตั้งแต่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ในขณะที่เอสแอนด์พี 500 ก็สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ขึ้นต่อเนื่องกัน 50 วัน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดิเร็ค ทอมป์สัน แสดงทรรศนะเรื่องนี้ไว้ในดิ แอตแลนติกว่า เหตุที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดแบบนี้ขึ้นมา เป็นเพราะ 3 ปัจจัยด้วยกัน
แรกสุดก็คือ วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ผ่าน ๆ มา ซึ่งเกิดจากอาการ “เน่าใน” ในภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรม เกิดการพังทลายจากภายในก่อนกลายเป็นวิกฤต แต่คราวนี้ไม่ใช่
วิกฤตที่เกิดจากโควิดเป็นเพียงการก่อให้เกิดเงื่อนไขบางประการที่ทำให้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรมต้อง “ดับเครื่อง” กะทันหัน ทั้ง ๆ ที่เครื่องยนต์เศรษฐกิจยังมีสุขภาพดี ไม่มีความเสียหาย ไม่เกิดพังทลายจากภายในเป็นส่วนใหญ่
นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมตลาดหุ้นถึงพุ่งแรงในทันทีที่มีข่าวการทดลองวัคซีน หรือการค้นพบแนวทางที่อาจเยียวยาโควิดได้ หุ้นทุกตัวของทุกบริษัท แทบจะกลายเป็นหุ้นวัคซีนไปโดยปริยาย เพราะสามารถสตาร์ตเครื่องใหม่ได้ทันทีที่วัคซีนขจัดเงื่้อนไขที่ทำให้ต้องดับเครื่องไป
ปัจจัยที่สองก็คือ การดำเนินความพยายามจากภาครัฐ “ในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” ในหลายประเทศ เพื่อพยุง ลาก ดึงเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้าผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากไปให้จงได้ หลายต่อหลายประเทศใช้วิธีการเดียวกัน นั่นคืออัดฉีดเงินเข้ากระเป๋าประชาชนโดยตรง เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชุดมาตรการต่อต้านโควิด-19 ทั้งหลายแหล่
ในหลายประเทศ รวมทั้งในไทย เงินให้เปล่าที่ว่านี้ช่วยไม่ให้แรงงาน พนักงานทั้งหลายต้องใช้เงินก้อนสุดท้ายไปซื้อเชือกผูกคอ แต่ในบางประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เงินแจกที่ว่านี้ทำให้คนตกงานในยุคโควิด มีเงินในกระเป๋ามากกว่าเมื่อครั้งทำงานอยู่ด้วยซ้ำไป เพราะได้รับทั้งเงินที่เป็นผลประโยชน์จากการตกงานและยังได้รับเงินช่วยพิเศษจากรัฐ
ในขณะที่ “เฟด” หรือ ธนาคารกลางของสหรัฐ ก็ทำเหมือนกับแบงก์ชาติของทุกประเทศ นั่นคือทำทุกอย่างไม่ให้กิจการน้อยใหญ่ทั้งหลายต้องล้มหายตายจากไป
สุดท้าย ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ ทุกคนอยู่แต่กับบ้าน ร้านรวงทั้งหลายต้องปิดกิจการ ค้าปลีกสลบซบเซา หรือไม่ก็ต้องปิดตัว
แต่ในเวลาเดียวกันนั้น การค้าออนไลน์พุ่งกระฉูด ระบบโลจิสติกส์ทำงานหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กิจการดิจิทัลอย่างซูม หรือสไกป์ ขยายไม่รู้กี่เท่าตัว เศรษฐกิจดิจิทัลเผยโฉมออกมาอย่างกะทันหัน
นี่เป็นเหตุให้หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่างไมโครซอฟท์, แอปเปิล, อเมซอน, กูเกิล, เฟซบุ๊ก, ซิสโกซิสเต็ม และอโดบี ฉุดตลาดหุ้นทั้งตลาดขึ้นสู่แดนบวกได้สบาย ๆ และต่อเนื่อง
ปัญหาก็คือ งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา เงินช่วยเหลือมีขอบเขตจำกัด ระยะเวลาจำกัด ถัดไปปีหน้า หรือปลายปีนี้ 3 ปัจจัยนี้จะคงอยู่หรือไม่ ไม่มีคำตอบ
คำตอบขึ้นอยู่กับฝีมือบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐแล้วละว่าจะมีประสิทธิภาพและมองการณ์ไกลอย่างไร ขนาดไหนเท่านั้น
"เศรษฐกิจ" - Google News
June 12, 2020 at 12:59PM
https://ift.tt/2BU49C9
เศรษฐกิจยุคโควิด เมื่อมองผ่านตลาดหุ้น - ประชาชาติธุรกิจ
"เศรษฐกิจ" - Google News
https://ift.tt/3crAsVL
No comments:
Post a Comment