
ที่มาของภาพ, Getty Images
บทวิเคราะห์การเงินและเศรษฐกิจประเทศไทยของไอเอ็นจี กลุ่มธุรกิจการเงินและการธนาคารระดับโลกของเนเธอร์แลนด์ คาดเศรษฐกิจไทยจะถดถอยตลอดปีนี้และอาจจะต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่วนค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี ส่วนหนึ่งเพราะความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น
ไอเอ็นจีระบุว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดใหญ่ไปทั่วโลกของโควิด-19 ได้ โดยผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของไทยติดลบ 12% ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ นับว่าแย่ที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินในเอเชียในปี 1998 ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวและภาคการส่งออกยังคงซบเซา ไอเอ็นจีจึงคาดว่า อีกสองไตรมาสที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจไทยจะยังคงติดลบต่อไป โดยรวมทั้งปีจะติดลบอยู่ที่ 6.6% แย่ที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 1998
การเมือง ปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจ
บทวิเคราะห์ของไอเอ็นจีระบุว่า ตลาดและเศรษฐกิจของไทยมักจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้น ช่วงกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ทีมที่ดูแลเศรษฐกิจไทยซึ่งนำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 3 คน คือ รมว.พลังงาน รมว.คลัง รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม รวมถึงรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศลาออก ทำให้ต้องมีการปรับคณะรัฐมนตรี
ในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีใหม่หลายคน รวมถึงนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตผู้บริหารเครือ ปตท. ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายปรีดี ดาวฉาย อดีตนายธนาคาร ได้รับการแต่งตั้งเป็น รมว.คลัง แต่เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน รมว.คลังคนใหม่ก็ได้ประกาศลาออก ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในระบบเศรษฐกิจไทยขึ้น

ที่มาของภาพ, THAI NEWS PIX
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเผชิญกับการประท้วงต่อต้านของนักเรียนนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปการเมือง รวมถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ในการเมือง ไอเอ็นจีคาดว่าจะมีการต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินออกไปอีกหลายรอบ ซึ่งเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่รัฐบาลใช้ในการควบคุมฝ่ายต่อต้าน โดยในช่วงแรกมีการใช้พระราชกำหนดนี้เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19
ไอเอ็นจีระบุว่าประวัติศาสตร์ช่วยให้ประเมินได้ว่าการเมืองไทยจะเลวร้ายได้มากแค่ไหน โดยครั้งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าในอดีต เพราะนอกจากความไม่พอใจต่อรัฐบาลแล้ว ยังมีคนที่ไม่พอใจเรื่องปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่นำโดยภาคการท่องเที่ยวน่าจะล่าช้าออกไปอีก
เงินบาทอ่อนค่าแล้ว 4.5%
ตลาดการเงินในประเทศเริ่มรับรู้ถึงสภาพการเมืองและเศรษฐกิจที่เลวร้ายนี้แล้ว นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ตลาดหุ้นและค่าเงินบาทของไทยหยุดการปรับตัวขึ้นตามตลาดเศรษฐกิจเกิดใหม่ในโลกที่กำลังฟื้นตัว ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศสูงขึ้น
นักลงทุนต่างประเทศเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยทุกเดือนในปีนี้ และคาดว่าแนวโน้มจะเป็นเช่นนี้จนถึงสิ้นปี ด้านค่าเงินบาทนับตั้งแต่ต้นปีจนถึง 9 ก.ย. อ่อนค่าลงแล้ว 4.5% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ตามหลังเพียงค่าเงินรูเปียห์ของอินโดนีเซียที่อ่อนค่ามากที่สุด (ตัวเลขของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่าราว 6%) ขณะที่ความวุ่นวายทางการเมืองที่เพิ่มมากขึ้น อาจจะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก
GETTY
-
4.5%เงินบาทอ่อนค่าลงตั้งแต่ต้นปี
-
31.50 บาทต่อดอลลาร์คาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนปี 2563
-
-1%อัตราเงินเฟ้อตั้งแต่ต้นปี
-
-14%ส่งออกข้าว 7 เดือนแรกของปีนี้เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากความเสี่ยงทางการเมืองที่สูงขึ้นแล้ว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ น่าจะทำให้ค่าเงินบาทเป็นหนึ่งในสกุลเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงมากที่สุดในปีนี้
รอยเตอร์รายงานว่า ค่าเงินบาทเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 10 ก.ย. อยู่ที่ราว 31.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ผู้ส่งออกไทยมองว่าแข็งเกินไป ทำให้สินค้าไทยในต่างแดนมีราคาสูงกว่าคู่แข่งประเทศอื่น และต้องการให้อยู่ที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
ไอเอ็นจีคาดว่า สิ้นปีนี้ค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับ สิ้นปี 2019 ที่ 30.22 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จะแข็งค่าขึ้นเป็น 31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2021 และ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นปี 2022
เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย
ด้านเงินเฟ้อ ไอเอ็นจีระบุว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับเศรษฐกิจไทยไปจนถึงสิ้นปีหน้า เนื่องจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่อ่อนแอทำให้เงินเฟ้อติดลบแล้ว 1% ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 0.50% ซึ่งต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังมีการปรับลดลง 0.75% ตั้งแต่ต้นปี และไม่น่าจะลดลงต่ำไปมากกว่านี้ ไอเอ็นจีคาดว่า การผ่อนคลายทางการเงินมากกว่าปกติยังไม่ใช่ทางเลือกในขณะนี้

ที่มาของภาพ, WASAWAT LUKHARANG/BBC THAI
ส่งออกและการท่องเที่ยวยังไม่กระเตื้อง
ตลาดการส่งออกที่สำคัญของไทยทั้งสหรัฐฯ, ยุโรป, ญี่ปุ่น และอาเซียน (รวมกันคิดเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าการส่งออกของไทย) ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายในประเทศหลายอย่างเช่น ปัญหาภัยแล้งทั่วประเทศ ที่อาจทำให้ผลผลิตด้านการเกษตรและการส่งออกลดลง โดยขณะนี้การส่งออกข้าวของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยได้รับลดเป้าหมายการส่งออกข้าวลง 13% ในปีนี้เหลือ 6.5 ล้านตัน ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ไทยอาจจะเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวมากเป็นอันดับสองของโลก
ส่วนการท่องเที่ยวซึ่งมีมูลค่าราว 1 ใน 5 ของเศรษฐกิจไทย โดยนักท่องเที่ยวจากจีนเพียงแห่งเดียวสร้างรายได้การท่องเที่ยวให้ไทยราว 1 ใน 4 ของทั้งหมด การท่องเที่ยวของไทยหยุดชะงักมาตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลยนับจากนั้น เศรษฐกิจจีนก็กำลังค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงต้นปี โดยอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจะเริ่มรู้สึกสบายใจในการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ในช่วงที่ยังมีมาตรการคุมเข้มที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 อยู่
"เศรษฐกิจ" - Google News
September 11, 2020 at 08:51AM
https://ift.tt/2GRhhKX
ไอเอ็นจี ชี้โควิด-19 ทำเศรษฐกิจไทยซึมยาว บาทอ่อนเป็นอันดับ 2 ของสกุลเงินเอเชีย - บีบีซีไทย
"เศรษฐกิจ" - Google News
https://ift.tt/3crAsVL
No comments:
Post a Comment